เทศน์เช้า

เดินเจ็ดก้าว

๑๔ ก.ค. ๒๕๔๔

 

เดินเจ็ดก้าว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

๔ อสงไขยแสนมหากัป แล้วสร้างมาตลอดมานี้ ดูอย่างมันพลิกได้ ดูอย่างหลวงปู่มั่น อาจารย์มหาบัวท่านเล่า เวลาหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านทำความเพียรไป แล้วจะกลับมานี่ ท่านบอกอาลัยอาวรณ์ในพุทธภูมินั้นมากเลย เพราะพุทธภูมินี่สร้างสมไว้นาน แล้วพอทิ้งพุทธภูมิ มาทำลายเป็นอริยบุคคล มันต้องทิ้งพุทธภูมิถึงเข้าอริยบุคคลได้

แล้วนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาพุทธภูมิมา แล้วพระพุทธเจ้าองค์ก่อนพยากรณ์แล้วนะ พยากรณ์แล้วมันข้ามไม่ได้ มันผิดไปไม่ได้ พอมันผิดไปไม่ได้ ทำมานี่ เกิดมาเดินเจ็ดก้าวนี่มันเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ๆ ต้องเป็นอย่างนั้นหมด

บารมีของพระพุทธเจ้านะ ต้องบารมี ๑o ทัศ ต้องมาทิ้งมาเหมือนกับพระเวสสันดร พระเวสสันดรยังพูดถึงชูชกมาขอลูกไปได้ แล้วเทวดามาขอเมียไป ขอทั้งหมดนะ ทิ้งมาขนาดนั้น แล้วเวลาตอนที่ว่ามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ จริงอยู่นะ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า แสดงอภินิหารนะ ยมกปาฏิหาริย์ เห็นไหม เต็มไปหมดเลย ทำอย่างไรก็ได้ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเพราะว่าเวลาสิ้นกิเลส แต่ตอนนั้นยังไม่เป็น ตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนเกิดมายังไม่เป็น

มันก็เหมือนกันไง ในสมัยพุทธกาลมีพระอรหันต์บางองค์ เห็นไหม พระอรหันต์บางองค์นะ เวลาสร้างคุณงามความดีเอาไว้มาก เวลาเป็นพระอรหันต์นี่ เวลาบวชจะมีพวกไตรทิพย์ลอยมาเลย จะมีกี่องค์เราจำไม่ได้ แต่มีหลายองค์อยู่ จะมีพวกบริขารลอยมา ลอยมาจากอากาศเป็นทิพย์เลยของแต่ละบุคคล

แต่ฟังนะ! พาหิยะนะ พาหิยะฟังพระพุทธเจ้าเทศน์เป็นพระอรหันต์ตอนพระพุทธเจ้ากำลังบิณฑบาตอยู่ไง แล้วบอกว่า “ขอให้พูดเถิด”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “นี่มันกำลังบิณฑบาตอยู่ ไม่ใช่เวลา”

“ขอให้ฟังเถิด เพราะชีวิตนี้มันไม่แน่นอน พูดแต่น้อยก็ได้”

พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟัง เป็นพระอรหันต์นะ เป็นพระอรหันต์แต่ไม่มี...

นี่เวลาคนที่ไม่ได้ทำไว้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นทุกคนไป มันเป็นที่ว่าถ้าสร้างสมบารมีมา จะมีบริขารลอยมาเลย เป็นทิพย์มา แต่มีชุดเดียว แล้วจากนั้นก็ไม่มีอีก

อันนี้ก็เหมือนกัน พาหิยะไปหาบริขารนะ หาบาตรหาบริขารไม่ได้ เป็นพระอรหันต์นะ ให้ควายขวิดตายไง เพราะเป็นพระอรหันต์แล้วยังไม่ได้บวช ควายขวิดตาย พาหิยะนะ นั่นนะหาไม่ได้ เวลาออกไปนั้นหาไม่ได้

พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าพระพุทธเจ้านะ ดูอย่างเช่นเวลาตอนจะออกบวช เห็นไหม ตอนพระพุทธเจ้าจะออกบวช ไปเห็นพวกนางสนมนอนอยู่ เหมือนกับป่าช้า เหมือนกับซากศพ นี่คนว่าเป็นไปไม่ได้ คนว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?

ย้อนกลับมาผู้ที่ปฏิบัติสิ เห็นอสุภะนั่นจะเห็นกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าจริงอยู่นะ จะบอกตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า บารมีทุกอย่างมันยังไม่ปรากฏโดยสมบูรณ์ มันมีมาโดยที่ว่าเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า เป็นประเพณี เวลาท่านจะออกบวชแล้วไปเห็นสภาพแบบนั้นนะ

แล้วมาพูดถึงพวกเราที่ปฏิบัติสิ พวกเราที่ปฏิบัติเวลาเห็นอสุภะ เวลาเห็นซากศพ เห็นอสุภะ ขนาดถ้าคนที่ทำความเพียรจัดๆ นะ เวลากำหนดอย่างนี้มองไปที่ร่างกายนี่ทะลุเลย ทำไมมองอย่างนั้นได้?

คนที่ทำความเพียรเต็มที่นะ ทำสมาธิเต็มที่ เวลามองร่างของเรา มันจะทะลุเข้าไปๆ เลย มันทะลุได้จริงๆ มองอย่างนี้ทะลุเลย จนครูบาอาจารย์บางองค์เห็นเวลาเราพูด เห็นเป็นขากรรไกรนี่ขยับๆ เฉยๆ เท่านั้นก็มี สิ่งนี้มันเป็นไปได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ออกบวชไปเห็นพวกนางสนมเป็นอย่างนั้นก็เป็นไปได้

อันนี้ก็เหมือนกัน การเดิน ๗ ก้าวนี่มันเป็นชาติสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นทุกพระองค์ต้องเป็นอย่างนี้หมดด้วย ไม่ใช่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะเป็นอย่างนั้นองค์เดียวนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นอย่างนั้นเลย เพราะไม่อย่างนั้นจะสร้างบารมีมาขนาดนี้ได้อย่างไร? สร้างบารมีมาขนาดนี้ แล้วสิ่งขนาดนี้มันเป็นไปได้อย่างไร?

แต่มันเป็นไปแล้วมันก็แค่นั้นนะ แค่ที่เดินแล้วมันก็กลับมาเป็นเด็กใหม่อย่างเก่า ดูอย่างที่ว่าถ้าเดินแล้วทำไมตอนนี้มันค้านกันไง ค้านกันตอนที่ว่ากาฬเทวิลลงมาดูนะ เข็นเอารถออกมา เห็นไหม เข็นพระพุทธเจ้าออกมา นี่ยังนอนแบเบาะอยู่เลย กาฬเทวิลดู

แล้วตอนที่คลอดออกมาจากลุมพินีนะ ก่อนจะนี่ นั้นมันเวลาก่อนหน้า แต่มันเป็นประเพณี ประเพณีเหมือนกับที่ตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไป ที่ว่าพ่อนิมนต์กลับไป แล้วบอกว่า “ไม่ได้นิมนต์ไปฉันบ้าน”

“ประเพณีพระพุทธเจ้าทำอย่างไรหนอ?”

กำหนดดูนะ ประเพณีพระพุทธเจ้า อ๋อ...พระพุทธเจ้าบิณฑบาต ออกบิณฑบาตตอนเช้า ออกโปรดสัตว์ ออกโปรดสัตว์เพื่อจะให้คนได้...

นี่ประเพณีของพระพุทธเจ้ามันเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ...เป็นไปได้ เป็นไปได้... เดิน ๗ ก้าวนี่เชื่อ เชื่อเพราะเป็นพุทธบารมี เป็นบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเป็นไป แต่ไม่ใช่ว่าเป็นแล้วเราจะพิสูจน์ได้ตลอดไป เป็นขณะที่คลอดออกมาแล้วเป็นไป

เหมือนกับที่ว่าเวลาที่ว่าพระพุทธเจ้าลงมาจากดาวดึงส์ พระอินทร์นี่อุ้มบาตรอย่างนี้ พระอินทร์นี่เป็นเด็กอุปัฏฐาก เห็นไหม ตอนที่พระสารีบุตรจะปรินิพพานไง แล้วที่ว่าแม่เข้าไปหา ว่ามีลำแสงพุ่งเข้ามาหาพระสารีบุตร “นั่นใครน่ะ?”

“อันนี้พระอินทร์”

“โอ้โฮ...ขนาดพระอินทร์นี่ยังต้องมาหาลูกชายอีกเหรอ?”

แล้วพอรุ่งก่อนอรุณจะมา พรหมมานี่

“นั่นใคร?”

“นั่นพรหม”

แล้วพระสารีบุตรเทศน์สอนไง สอนว่า “นี่เป็นแค่ผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า”

นี่มันคนละภพละชาติ มันทำกันได้อย่างไร? มันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในทางวิทยาศาสตร์เป็นไปไม่ได้เลย แล้วถ้าเอาทางวิทยาศาสตร์มาจับ มันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันพิสูจน์ไม่ได้

แต่ในทางธรรม...ในทางธรรมในการสร้างสมบารมีที่มันสะสมบารมีมา มันเป็นไปได้ เป็นไปเพราะบุญญาธิการ เป็นไปเพราะบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เฉพาะกาลนั้นเท่านั้น เป็นเฉพาะกาลนั้นแล้วก็จบ พอจบแล้วทีนี้ก็เริ่มต้นสะสมใหม่

ดูอย่างตอนจะตรัสรู้สิ ตอนจะตรัสรู้ เห็นไหม ไปเรียนกับเขามาหมดเลย แล้วมาคิดถึงตอนที่เป็นเด็ก นี่บารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ตอนที่เป็นเด็กอยู่ที่โคนต้นหว้าทำสัมมาสมาธิ ทำอานาปานสติ ทำสมาธิ แล้วคิดถึงตอนนั้น กลับไปถึงตอนนั้น เห็นไหม แล้วเอาตอนนั้นมาเป็น...

นี่ตอนที่เป็นเด็กอยู่โคนต้นหว้า พ่อออกไปแรกนาขวัญ แล้วไปศึกษาเขามาตลอด มันไม่ใช่ทางๆ แล้วตอนนั้นเป็นเด็กอยู่ เห็นไหม ก็ยังเข้าถึงตรงนั้นได้ มันบอกบารมีมาให้ความสุขของตัวเอง มันเริ่มเข้าทางของตัวเอง แต่ตัวเองต้องแสวงหา ความเข้าใจ เพราะคนเรามีกิเลสอยู่ใช่ไหม? พอคนมีกิเลสอยู่ แล้วคนที่มันมีกิเลสอยู่มันไม่เชื่อมั่นตัวเอง ความเชื่อมั่นตัวเองมีอยู่แต่ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำอย่างนั้นได้ สุดท้ายแล้วทำไปไม่ได้ผล ต้องกลับมาค้นคว้าเอง สยมภูตรัสรู้ด้วยตนเอง

เป็นไปได้...เดิน ๗ ก้าวนี่เป็นไปได้ อย่างที่บารมีอย่างนี้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ บารมี ๑o ทัศนี่เป็นไปได้อย่างไร?

อย่างที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เห็นไหม อารมณ์เกิดอารมณ์เดียว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารานี่ อารมณ์ ปฏิจจสมุปบาทเกิดแว็บๆๆ ในใจนี่ถูกต้อง แล้วถ้าพูดถึงอธิบายเป็น ๓ ชาตินะ ๓ ชาติ ชาติที่ว่าอธิบายข้ามภพข้ามชาติไง

ถ้าข้ามภพข้ามชาติ ดูอย่างพระเวสสันดรอย่างนี้ จากพระเวสสันดรมันก็มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มันจะข้ามภพข้ามชาติไหม? แล้วสละขนาดนั้นนะ สละออกไปทั้งหมดขนาดนั้น แล้วมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะออกมา พอออกมานี่ก็เดินได้ ๗ ก้าวก่อน พอเดินได้ ๗ ก้าว พูดยิ่งกว่านั้นอีกนะ ในอรรถกถาว่า “มีธารน้ำทิพย์ไหลมา มีอะไรมา แต่มันมองไม่เห็น”

ตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตายนะ ที่ว่าเทวดามาให้ดอกไม้ที่มาจากสวรรค์ แล้วที่เขาถือไป เห็นไหม พวกพราหมณ์ถือไปบอกพระกัสสปะ “พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว” นี่ไง ดอกไม้นี่ไงที่ในโลกนี้ไม่มี แต่เทวดาเอาโปรยกับศพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่มันเป็นที่ว่าข้ามภพข้ามชาติ มันเป็นไปไม่ได้ แต่! แต่ถ้าตาสว่างแล้วมันจะเป็นไปได้หมดเลย เป็นไปได้ขนาดที่ว่าสอนเทวดาได้ สอนอินทร์ สอนพรหมได้ แต่เป็นที่ว่าเป็นบารมี

อย่างของเรา ครูบาอาจารย์เรานี่บางองค์ทำได้ อย่างเช่นหลวงปู่มั่นที่ท่านพูด ท่านทำของท่านได้ เพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แล้วบารมีของท่านมีมากมายมหาศาล เห็นไหม อย่างหลวงปู่ชอบอย่างนี้ หลวงปู่ชอบก็ทำได้ หลวงปู่ชอบไปอยู่ที่เพชรบูรณ์อย่างนี้ ไปอยู่เพชรบูรณ์นะ ท่านเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง ครูบาอาจารย์เล่าต่อๆ กันมา บอกว่า

เวลาท่านไปอยู่ที่เพชรบูรณ์อยู่องค์เดียว ธุดงค์ไปในถ้ำ “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” เวลาสวดมนต์สวดคนเดียว แล้วเวลาท่านจะธุดงค์ไป มันเข้ามานิมิตเลย บอก “ไม่อยากให้หลวงปู่ชอบไป อยากให้หลวงปู่ชอบอยู่ที่นี่ เพราะหลวงปู่ชอบอยู่ที่นี่ เวลาสวดมนต์สวดพรนี่มันกังวาน มันดังไปทั่ว มันมีความสุขมาก” เห็นไหม บอกอยากให้อยู่ที่นั่น แต่หลวงปู่ชอบถึงเวลาแล้วท่านก็ไปของท่าน นี่เป็นบางองค์ที่จะทำได้ เป็นบางกาล กาลไง

นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงได้ตลอดไหม? ในพระไตรปิฎกมีพระไปถามไง ถามปัญหาว่า “สวรรค์มีจริงไหม? นรกมีจริงไหม?”

พระพุทธเจ้าบอก “ไม่พยากรณ์”

“ถ้าไม่พยากรณ์จะสึก”

“เรารับประกันเหรอว่าถ้าเราไม่พยากรณ์ เธอจะสึกแล้วเราถึงจะยอมรับไว้?”

ถ้าไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม พระไปถามนะ แล้วต่อรองด้วย อยู่ในพระไตรปิฎก ว่า “ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตอบนี่จะสึก” ต่อรองพระพุทธเจ้าว่า “สวรรค์มีจริงไหม? นรกมีจริงไหม?”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่พยากรณ์”

ไม่พยากรณ์คือไม่บอก ไม่พูด เอาคำว่าจะสึก มาต่อรองก็ไม่ฟัง “สึกก็สึกไปเพราะเราไม่ได้บอกว่าให้เธอบวชแล้วเราจะบอกเรื่องนรก สวรรค์”

นี่ในพระไตรปิฎกไง เป็นกาลเป็นเวลา เป็นจังหวะ เป็นว่ามันเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ แต่บารมีที่มันมีอยู่มันเป็นไป มันมีอยู่ เป็นของส่วนบุคคลไง เป็นของของท่านไง แล้วใครจะมีอย่างนั้นไม่ได้ไง

แล้วถ้าเรามีอย่างนั้นไม่ได้ นี่ความเชื่อของเรา เราเชื่อด้วยการประพฤติปฏิบัติ เราเชื่อด้วยเวลาพิจารณาอสุภะ เวลาจิตมันเห็นอสุภะ มันจะเชื่อตรงนั้น ว่ามันเป็นไปได้อย่างนั้น มันเป็นไปได้อย่างไรที่เราเห็นอสุภะเห็นอสุภัง?

อสุภะนี่มันจะแปรสภาพไป มันจะทำลายตัวมันเองอย่างนี้ มันเห็นอย่างนั้น มันเห็นได้อย่างไร? นี่เวลาจิตมันเห็นอย่างนั้น

นักปฏิบัติมันถึงว่าเคารพครูบาอาจารย์ไง เคารพพระพุทธเจ้าเคารพจากหัวใจนะ เคารพจากหัวใจเลย มันเป็นไปโดยที่ว่ามันจะพลิกจากปุถุชนเรานี่เป็นอริยบุคคล ถ้าเราพลิกจากปุถุชนขึ้นไป มันจะเห็นขณะจิตที่เปลี่ยนไป ขณะจิตที่มันเปลี่ยนไป ความแปรสภาพของจิตมันเปลี่ยนไป ความเปลี่ยนไปมันต้องทำลายความลังเลสงสัย แล้วเราถามตัวเราเองสิ เราอ่านว่าพระพุทธเจ้าเดิน ๗ ก้าว เราสงสัยไหม? เราสงสัย ทุกอย่างเป็นความสงสัยหมดเลย

ถ้าทุกอย่างเป็นความสงสัย ความลังเลสงสัยอันนี้มันเป็นอะไร? ถ้ามันไม่เป็นกิเลสมันเป็นอะไร? แล้วถ้าเราทำความลังเลสงสัยอันนี้ไม่ได้ เราจะตัดกิเลสได้อย่างไร?

ฉะนั้นว่ามันถึงไม่สงสัยสิ่งที่ว่ามันเป็นไปได้ สิ่งนั้นเป็นไปได้ แต่เป็นสมบัติส่วนตน เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเอาความเห็นของเราเข้าไปจับ มันถึงเป็นไปไม่ได้ไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้มันก็เถียงกันไปอย่างนั้น

ถึงว่าไม่ใช่พูดเพื่อโต้แย้ง เพื่อจะไปโต้แย้งกับเขา เขามีความเห็นอย่างนั้นสิทธิของเขา เขามีความเห็นว่าเชื่อไม่ได้ก็เรื่องของเขา ไอ้อย่างเราเห็นว่าเชื่อได้ เชื่อได้เพราะอะไร?

เพราะว่าบุญญาธิการหนึ่ง เพราะประเพณีของพระพุทธเจ้า ประเพณีนะ ประเพณีพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วก็บุญญาธิการที่สร้างของท่านมา แล้วมันเป็นไปอย่างนั้น เราถึงเชื่อของเราอย่างนี้ ถ้าเขาไม่เชื่อก็จบ เอวัง